เนื่องจากการใช้บริการ GPS แบบติดตามนั้น ก็เปรียบเสมือนผู้ใช้งานนำโทรศัพท์มือถือ 1 เครื่องเข้าไปซุกซ่อนไว้ในรถนั่นเอง
ซึ่งตัวอุปกรณ์ GPS นี้ ก็ต้องมี sim ของผู้ให้บริการไม่ว่าจะเป็นค่าย DTAC หรือ AIS ก็ตาม เป็นตัวส่งสัญญาณข้อมูลในการ
บอกตำแหน่ง พิกัด สถานะรถ ตามในรูปแบบของ sim dataสามารถดูข้อมูลย้อนหลังได้ครับ

ติดตั้งได้กับรถทุกชนิดครับ ไม่ว่าจะเป็นรถจักรยานยนต์ , รถเก๋ง, รถกระบะ รถบรรทุก รถแบคโฮ  หรือแม้กระทั่งติดตั้งในเรือ
จริงๆแล้วแค่มีแบตเตอร์รี่ และ มีสายไฟพื้นฐานที่ต้องใช้เพียง 3 เส้น หลักๆ คือ 1) ไฟบวก  2) ไฟ acc on  3) ไฟขั้วลบ เท่านั้น
เป็นอันติดตั้งได้ครับ

ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่างครับ ขอแนะนำดังนี้
1. มาตรฐานของอุปกรณ์ ได้รับการรับรองหรือไม่
2. คุณภาพของอุปกรณ์ มีความคงทนต่อสภาพการใช้งาน และใช้งานได้นานหรือไม่ /อย่าลืมนะครับว่า
   อุปกรณ์ ที่ซื้อไปนั้น จะต้องนำไปติดตั้งในตัวรถ จะต้องเจอแรงกระแทก และ ความร้อนของ
   ห้องเครื่อง หรือปัจจัยอื่นๆ อีกมากมาย ดังนั้นคุณภาพของวัสดุที่นำมาผลิตก็มีส่วนต่อราคาเช่นกันครับ
3. option เสริม เช่น อุปกรณ์สั่งดับเครื่องยนต์ , วัดน้ำมัน , เซ็นเซอร์ ฯลฯ
4. การส่งข้อมูลพิกัดของรถ ตามช่วงระยะเวลาต่างๆที่ลูกค้าเลือก ถ้ายิ่งเลือกละเอียดมาก เช่น ให้ส่งสัญญาณทุก 5 วินาที
    อุปกรณ์ก็จะทำงานหนักขึ้นมีผลต่อค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นด้วยครับ
   (โดยปกติ ถ้าไม่จำเป็นต้องดูละเอียดมาก จริงๆ เลือกส่งข้อมูลทุก 1 นาที กำลังดีครับ)
5. บริการหลังการขาย (Service) อันนี้สำคัญมากครับ บางบริษัท ค่าอุปกรณ์อาจราคาถูกก็จริง
    แต่ไม่ได้รวมค่า service นั้นคือ ถ้าทุกครั้งที่อุปกรณ์มีปัญหาทีหลัง ก็อาจจะถูกคิดราคาค่า
     บริการเพิ่มอีกทีครับ
6. ทีม call center 24 ชม. ในกรณีที่ต้องการข้อมูลเพิ่มเติม หรือเกิดเหตุฉุกเฉิน หรือ รถหาย
    จะมีเจ้าหน้าที่คอยช่วยเหลือ ประสานงานได้อย่างทันท่วงที (ทำให้รู้สึกอุ่นใจ ไม่เหมือนอยู่ตัวคนเดียว)

    ดังนั้นก่อนการซื้อ GPS ต้องตัดสินใจดีๆ มองถึงประโยชน์ในระยะยาวจะดีที่สุด เพราะเราต้องใช้อุปกรณ์นี้ไปอีกนาน
    ควบคู่กับตัวรถเลยทีเดียว